"ลองสวดมนต์สิ"
นี่คือคำที่หลาย ๆ คนจะได้ยินจากดิฉันบ่อยมาก ๆ
ใครที่ประสบปัญหาชีวิตในด้านต่าง ๆ มาเจอกับดิฉัน
ดิฉันก็จะบอกไปว่า "ให้ลองสวดมนต์ดูสิ"
นาทีที่เค้าประสบพบเจอกับปัญหาเนี่ย
ดิฉันก็รู้นะว่า "จิตเค้าตกแน่นอนแหล่ะ"
เพียงแต่ว่า ดิฉันจะทำยังไงให้เค้ามีสติ
เพราะเวลาคนเราจิตตก สติก็กระเจิงเหมือนกันนะ
ก็มักจะบอกหลาย ๆ คนให้ไปสวดมนต์ดู
อยากขายของดี "ให้สวดมนต์"
อยากให้มีคนรัก "ให้สวดมนต์"
อยากรวย "ให้สวดมนต์"
อยากมีลูกดี "ให้สวดมนต์"
อยากมีแฟนดี ๆ "ให้สวดมนต์"
ใครมีความอยากมีหลายประการ เราก็จะบอกเหมือนกันว่า "ให้สวดมนต์"
เพราะ " ดิฉันสวดมนต์นะ นี่เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจที่เรามี ถึงแม้ดิฉันจะมีปัญหามากมายเพียงใดตั้งแต่กลางปีที่แล้วจนถึงสิ้นปี ดิฉันก็จะพยายามสวดมนต์ แม้จะไม่ได้ทุกวัน แต่ดิฉันก็จะพยายามไปสวดมนต์ให้ได้ คือต้องพยายาม ถึงแม้จะท้อแท้ และล้มเหลวมาหลายครั้ง แต่ดิฉันก็จะพยายามนะ พยายามทำให้ได้ เพราะดิฉันกลัวไง ดิฉันกลัวว่า ถ้าวันไหน ดิฉันหยุดสวดมนต์ ดิฉันกลัวเวรกรรมจะตามมาทัน ดิฉันกลัวการไม่มีเงิน ดิฉันกลัวการไม่มีงาน แต่เวลาที่สวดมนต์ ดิฉันจะพยายามทำจิตใจสงบ ไม่คิดฟุ้งซ่าน ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง แต่ทุกครั้งดิฉันจะคิดว่า ทำให้ดีที่สุด แค่นี้แหล่ะ "พอ""
ดิฉันก็จะยกข้อดีของการสวดมนต์
ไปบอกกับคนที่เจอปัญหานะว่า
ข้อที่ 2 ของ อิติปิโส ก็คือ สวากขาโต
ซึ่งท่อนนี้จะแปลว่า
พระธรรมเป็นสิ่งที่พระศาสดาตรัสไว้ดีแล้ว ซึ่งผู้รู้ก็จะรู้ได้เฉพาะตน
อันนี้ดิฉันก็จะแปลเป็นภาษาที่ทำให้เค้าเข้าใจง่ายขึ้นว่า
พระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติเท่านั้น
ที่จะสามารถมองเห็น หรือรับรู้ได้
ถ้าคุณไม่ลองดู แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง
ในเมื่อคุณอยากรู้
แต่ถ้าคุณไม่อ่าน
แล้วเมื่อไหร่คุณจะรู้
นี่เป็นสิ่งที่ดิฉันพยายามบอกกับหลาย ๆ คนให้เค้าทำ
แต่ดิฉันก็ไม่สามาถชักจูงคนได้ทั้งหมดหรอกนะ
เพราะบางครั้งสิ่งที่ดิฉันพูดก็มีคนอีกมากมายที่ไม่เชื่อ
เพราะตัวดิฉันเองก็ผิดศีลข้อ 4 ซึ่งผลแห่งการผิดศีลข้อนี้ก็คือ
ทำให้ไม่มีคนเชื่อถือในคำพูดของดิฉัน เหมือนดิฉันพูดเพ้อเจ้อ
แต่ดิฉันก็พยายามนะ
เพราะดิฉันแค่อยากให้เค้าได้ดี
และดิฉันอยากให้เค้าได้รู้
ในสิ่งที่ดิฉันรู้เช่นเดียวกัน
แค่คิดดี และอยากให้คนอื่นได้ดี
มันก็คงเพียงพอแล้ว
สำหรับการชักชวนคนรอบข้างให้มาสวดมนต์
อย่างมีสติ
10 มกราคม 2554
นี่คือคำที่หลาย ๆ คนจะได้ยินจากดิฉันบ่อยมาก ๆ
ใครที่ประสบปัญหาชีวิตในด้านต่าง ๆ มาเจอกับดิฉัน
ดิฉันก็จะบอกไปว่า "ให้ลองสวดมนต์ดูสิ"
นาทีที่เค้าประสบพบเจอกับปัญหาเนี่ย
ดิฉันก็รู้นะว่า "จิตเค้าตกแน่นอนแหล่ะ"
เพียงแต่ว่า ดิฉันจะทำยังไงให้เค้ามีสติ
เพราะเวลาคนเราจิตตก สติก็กระเจิงเหมือนกันนะ
ก็มักจะบอกหลาย ๆ คนให้ไปสวดมนต์ดู
อยากขายของดี "ให้สวดมนต์"
อยากให้มีคนรัก "ให้สวดมนต์"
อยากรวย "ให้สวดมนต์"
อยากมีลูกดี "ให้สวดมนต์"
อยากมีแฟนดี ๆ "ให้สวดมนต์"
ใครมีความอยากมีหลายประการ เราก็จะบอกเหมือนกันว่า "ให้สวดมนต์"
เพราะ " ดิฉันสวดมนต์นะ นี่เป็นอีกหนึ่งความภูมิใจที่เรามี ถึงแม้ดิฉันจะมีปัญหามากมายเพียงใดตั้งแต่กลางปีที่แล้วจนถึงสิ้นปี ดิฉันก็จะพยายามสวดมนต์ แม้จะไม่ได้ทุกวัน แต่ดิฉันก็จะพยายามไปสวดมนต์ให้ได้ คือต้องพยายาม ถึงแม้จะท้อแท้ และล้มเหลวมาหลายครั้ง แต่ดิฉันก็จะพยายามนะ พยายามทำให้ได้ เพราะดิฉันกลัวไง ดิฉันกลัวว่า ถ้าวันไหน ดิฉันหยุดสวดมนต์ ดิฉันกลัวเวรกรรมจะตามมาทัน ดิฉันกลัวการไม่มีเงิน ดิฉันกลัวการไม่มีงาน แต่เวลาที่สวดมนต์ ดิฉันจะพยายามทำจิตใจสงบ ไม่คิดฟุ้งซ่าน ทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง แต่ทุกครั้งดิฉันจะคิดว่า ทำให้ดีที่สุด แค่นี้แหล่ะ "พอ""
ดิฉันก็จะยกข้อดีของการสวดมนต์
ไปบอกกับคนที่เจอปัญหานะว่า
ข้อที่ 2 ของ อิติปิโส ก็คือ สวากขาโต
ซึ่งท่อนนี้จะแปลว่า
พระธรรมเป็นสิ่งที่พระศาสดาตรัสไว้ดีแล้ว ซึ่งผู้รู้ก็จะรู้ได้เฉพาะตน
อันนี้ดิฉันก็จะแปลเป็นภาษาที่ทำให้เค้าเข้าใจง่ายขึ้นว่า
พระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่ผู้ปฏิบัติเท่านั้น
ที่จะสามารถมองเห็น หรือรับรู้ได้
ถ้าคุณไม่ลองดู แล้วคุณจะรู้ได้ยังไง
ในเมื่อคุณอยากรู้
แต่ถ้าคุณไม่อ่าน
แล้วเมื่อไหร่คุณจะรู้
นี่เป็นสิ่งที่ดิฉันพยายามบอกกับหลาย ๆ คนให้เค้าทำ
แต่ดิฉันก็ไม่สามาถชักจูงคนได้ทั้งหมดหรอกนะ
เพราะบางครั้งสิ่งที่ดิฉันพูดก็มีคนอีกมากมายที่ไม่เชื่อ
เพราะตัวดิฉันเองก็ผิดศีลข้อ 4 ซึ่งผลแห่งการผิดศีลข้อนี้ก็คือ
ทำให้ไม่มีคนเชื่อถือในคำพูดของดิฉัน เหมือนดิฉันพูดเพ้อเจ้อ
แต่ดิฉันก็พยายามนะ
เพราะดิฉันแค่อยากให้เค้าได้ดี
และดิฉันอยากให้เค้าได้รู้
ในสิ่งที่ดิฉันรู้เช่นเดียวกัน
แค่คิดดี และอยากให้คนอื่นได้ดี
มันก็คงเพียงพอแล้ว
สำหรับการชักชวนคนรอบข้างให้มาสวดมนต์
อย่างมีสติ
10 มกราคม 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น